ปลูกแคพื้นบ้าน ปลูกง่าย โตเร็ว สรรพคุณเยอะ ควรมีติดบ้าน
แคเตี้ยผักพื้นบ้านกำลังเป็นที่นิยม
ผักพื้นบ้านที่เราเห็นๆ อยู่เป็นประจำ ส่วนใหญ่มีปลูกกันทั่วๆ ไปตามท้ อ งตลาดก็มีเป็นจำนวนมาก อย่ างเช่น กะเพรา โหระพา ตะไคร้ ต้นมะกรูด ซึ่งเป็นผักพื้นบ้านชนิดใบแต่ถ้าเป็นผักพื้นบ้านประเภทยืนต้นที่พบเห็นกันบ่อยครั้งก็จะมี ผักหวานป่า เพกา(ลิ้ นฟ้า)แคบ้าน เป็นต้น แต่ในปัจจุบันแคบ้านได้มีการนำพั น ธุ์เตี้ยมาปลูกกันแล้ว
ซึ่งทางคุณธงชัย สถาพรวรศักดิ์ นักวิชาการเกษตร 8 กรมส่งเสริมการเกษตร ได้เปรียบเทียบและอธิบายให้ฟังว่า แคพันธุ์เตี้ย กับแคบ้าน มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันทุกอย่ างเลย เพียงแต่พั น ธุ์เตี้ยมีข้อดีคือสามารถเก็บผลผลิตง่ายแต่รูปร่างลักษณะเหมือนกันทุกอย่ าง
แคบ้านเป็นไม้ยืนต้นขนาดสูง ประมาณ 3-10 เมตร แต่ถ้าเป็นแคเตี้ยจะมีความสูงประมาณ 1.50-2 เมตร เป็นไม้โตเร็วและมีกิ่งก้านแขนงมาก เปลือกไม้มีสีเทา รอยขรุขระหนา ใบเป็นใบประกอบ ใบย่อยมีขนาดเล็กเรียงเป็นคู่ใบย่อย 30-50 ใบ เรียงขนานกัน ดอกคล้ายดอกถั่วเป็นช่อและดอกที่ซอกใบแต่ละช่อมี 2-4 ดอก ดอกสีขาว ดอกยาว 6-10 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงเป็นรูประฆังหรือรูปถ้วย
ผลเป็นฝักแบนย าวประมาณ 8-15 เซนติเมตร ฝักเมื่อแก่จะแตกออกแหล่งที่พบสามารถพบเห็นได้ทั่วไปแต่ถ้าเป็นแคเตี้ยยังไม่มีปลูกอย่ างแพร่หลายที่มีอยู่ตอนนี้เห็นมากคือแถวจังหวัดนนทบุรี การขย ายพั น ธุ์โดยใช้เ ม ล็ ด
การปลูกแคบ้านและแคพั น ธุ์เตี้ย
มีวิธีการปลูกที่เหมือนกัน คือ แคเป็นไม้ที่เจริญเติบโตได้ดีในดินทุกชนิดที่โล่งแจ้ง และเป็นไม้ชอบที่ลุ่ม ไม่มีน้ำท่วมขัง ก่อนการปลูกเราควรจะต้องมีการไถพรวนให้ดินละเอียดแล้วจึงขุดหลุมปลูกใช้ระยะปลูกระหว่างต้น 2 เมตร ระหว่างแถว 2 เมตร ขุดหลุมกว้างประมาณ 50 เซนติเมตร ลึก 50 เซนติเมตร
แล้วพรวนดินในหลุมจนละเอียดโดยผสมปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักหรืออาจจะใช้ปุ๋ยสูตรรองพื้นเล็กน้อย โดยเราใช้สูตร 15-15-15 อัตรา 10-15 กรัม คลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วจึงนำต้นพั น ธุ์มาลงปลูก การปลูกสามารถทำได้ 2 วิธี คือ
1. ใช้กล้าปลูก ก็ได้โดยนำต้นกล้าที่เพาะจากเ ม ล็ ด สูงประมาณ 50-80 เซนติเมตรหรือเพาะไว้ประมาณ 1 เดือน จึงจะย้ายปลูกลงในแปลง หลังปลูกแล้วควรกลบโคนต้นให้แน่นแล้วนำไม้มาปักทำเป็นหลักยึดเพื่อไม่ให้กล้าล้ม
2. การหยอดเมล็ด ก่อนจะนำเ ม ล็ ดไปปลูกควรจะบ่มเมล็ดไว้ประมาณ 1 คืน โดยการนำผ้าไปจุ่มน้ำให้เปียกพอหมาดๆ แล้วจึงนำเมล็ดมาใส่ผ้า โดยใช้เ ม ล็ ดให้พอดีกับพื้นที่ที่จะปลูก เสร็จแล้วให้นำมาใส่ในภาชนะที่ปิดมิดชิดเพื่อให้เ ม ล็ ดมีความชื้นสม่ำเสมอ
และยังช่วยให้เ ม ล็ ดงอกได้ดี หลังจากที่บ่มเอาไว้ 1 คืน ให้นำเ ม ล็ ดไปหยอดในแปลงที่เตรียมไว้ ควรหยอดเ ม ล็ ดในหลุมให้ลึกประมาณ 1-2 เซนติเมตร แล้วนำดินมากลบ รดน้ำให้ชุ่ม หาฟางมาปิดคลุมไว้ป้องกันความชื้นในดินให้ระเหยไปได้ช้าลง
เมื่อแคมีความสูงประมาณ 20-30 เซนติเมตร ถึงจะเด็ดยอดให้หมดเพื่อช่วยให้ต้นแคแตกแขนงได้ดี และยังทำให้เพิ่มปริมาณดอกมากขึ้น ทรงต้นเป็นพุ่มและไม่สูง
การดูแลรักษาและการใส่ปุ๋ยแค
แคที่ปลูกไว้เพื่อขายดอก จะใส่ปุ๋ยสูตร 13-27-13 หรือ 12-24-12 หรือปุ๋ยชนิดอื่นที่ใกล้เคียงกัน โดยใส่ในอัตรา 50 กิโลกรัม/ไร่ อาจจะนำปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ที่สลายตัวแล้วมาใส่เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้กับต้น
การให้น้ำแค
หลังจากที่เราลงปลูกแล้ว ให้รดน้ำอย่างสม่ำเสมอทั้งตอนเช้า-เย็น หลังจากที่แคงอกเป็นต้น และเจริญแข็งแรงดี ควรจะลดการให้น้ำลงบ้าง เหลือประมาณ 3-4 วัน/ครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความชื้นในดินไม่ควรรดน้ำให้แฉะจนเกินไปเพราะจะทำให้รากเ u่ าได้
ถ้าหากพบวัชพืชขึ้นมาต้องรีบกำจัดอย่ าปล่อยเอาไว้ เพราะจะไปแย่งอาหารในดินกับแคที่เราปลูก ทำให้แคของเราเจริญเติบโตช้ากว่าปกติ
โ s คและแ ม ล งรบกวนแค
ส่วนมากจะพบ คือเพลี้ยอ่อนมีลักษณะดูดกินน้ำเลี้ยงตามยอดอ่อนและกิ่งแขนงทำให้ยอดและกิ่งแขนงแห้งป้องกันโดยนำพริกหรือพริกไทยมาบดละเอียดแล้วนำมาผสมน้ำปริมาณ 1 ลิตร ทิ้งหมักไว้ประมาณ 24 ชั่วโมง แล้วให้กรองเอากากออก เหลือแต่น้ำก่อนใช้ควรผสมนำย าจับใบ อาจใช้น้ำย าล้างจาน 1 หยด นำไปฉีดพ่นทุกๆ 7 วัน
แ ม ล งหวี่ขาว จะดูดกินน้ำเลี้ยงจากยอดอ่อน จะทำให้ยอดหงิกงอทำให้ไม่เจริญเติบโต ถ้ามีการsะ u า ดมากจำเป็นต้องใช้สารควรปฏิบัติตามฉลากที่แนะนำ
การเก็บผลผลิตแค
เมื่อเราปลูกไปแล้วประมาณ 3 เดือน ก็เริ่มเก็บผลผลิตได้แล้ว จะมีผลผลิตออกทุกวัน ควรเลือกเอาแต่ดอกที่โตพอเหมาะ ถ้าแคบานหรือปริดอกไม่เป็นที่ต้องการของตลาดถ้าหากมีดอกแคที่บานอยู่ติดกับต้นควรเด็ดออก
แคทั้ง 2 ชนิดนี้มีลักษณะต้นและใบหรือแม้กระทั่งผลผลิตเหมือนกันทุกอย่ างเพียงแต่เป็นพั น ธุ์ที่เตี้ยเหมาะสำหรับปลูกไว้เพื่อเป็นการค้าเก็บผลผลิตจำหน่าย สามารถเก็บผลผลิตได้ง่ายและสะดวก
แหล่งที่มา knowledge
Advertisements